วันพฤหัสบดีที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

อาหารเมนูที่สอง

ยินดีตอนรับกลับสู่รายการเมนูสิ้นคิดกับพี่โอ๊คอีกครั้ง

เช่นเดิม หากใครจะเอาไปเลียนแบบก็ไม่ว่ากัน แต่หวังว่าจะรอดชีวิต หรือไม่ก็กินยากันท้องเสียทัน

เนื่องจากใรครั้งก่อนมีคำครหามากมาย ฉะนั้นครั้งนี้เราจะโชวเมนูที่ดูมีภูมิปัญญามากกว่าเดิม ถึงแม้มันจะไม่พ้นขอบเขตของความสิ้นคิดก็เหอะ

เมนูวันนี้เป็นข้าวผัดกับ meat ball ==>ทำไมต้อง meatball เพราะว่าหมูมันแพงอ่ะเด้

ราคาหมู = 79 ต่อ pack ==> ประมาน 6ขีดได้
ราคาmeat ball = 30 per pack ==> pack ละ 1 kg

มาดูเครื่องปรุงกันก่อนดีกั่ว
1. กระเทียมหั่นเป็นชิ้น (เราชอบกินกระเทียม + ไม่มีอีโต้ )


2. หัวหอมแดง

3.ไข่กะข้าว (ข้าวคือข้าวที่เหลือจากร้านอาหารไทยเมื่อวันก่อนแล้วแช่ในตุ้เยน)


4. meat ball หั่นเป็นชิ้นเล็กๆ



เครื่องปรุงพร้อมแล้ว ฉะนั้นก็ลงมือปรุง
1. ขั้นแรก เปิดน้ำก็อกดื่ม แล้วทำใจให้สบาย

2.ตั้งไฟ(ถึงจะไม่มีไฟก้อเหอะ) ใส่น้ำมันลงไปพอสมควร


3. เอากระเทียมกับหัวหอมลงไปในกระทะก่อน และอย่าตั้งไฟให้แรงเกินปาย
4. เมื่อผัดจนกระเทียมเหลืองอร่าม แล้วหัวหอมส่งกลิ่นหอมแล้วก็ใส่ข้าวกับ meatball ลงไป
5. ผัดจนข้าวเริ่มเหลืองเป็นสีทอง ^*^ แล้วจึงตอกไข่ใส่ลงปายยย

6. ผัดไปเรื่อยๆ จนไข่เริ่มแห้ง ไม่งั้นจะเหมือนข้าวผัดของเกี้ยที่ไปกินทริบภาคครั้งแรก เว้นแต่ว่าใครจะชอบไข่ดิบนั่นก็อีกเรื่อง แล้วก็ตักใส่จาน


เสร็จแล้วกับเมนูสิ้นคิดกับพี่โอ๊คอีกรายการ มีความเห็นเยี่ยงใด จะหนับหนุนหรือทับถมกันก็ว่ามาเลย

ปล. ถ้าถามเรื่องการใส่เครื่องปรุง... จะบอกว่า เราทำตามที่เขียน ตรงตามตัวอักษร ซีอิ๊ว น้ำตาล และอื่นๆ ไม่มีแม้แต่นิดเดว ห้าห้าห้า

ประเมินดีกว่า
รสชาติ 6/10 กลิ่นใช่ รูปลักษณ์งาม แต่จืด.... แน่สิก็ไม่ได้ใส่ไรลงไปเลยนิหว่า
ความยากง่าย 6/10 ต้องเตรียมเครื่องปรุงหลาย แถมต้องผัดนานพอสมควร ไม่ควรทำเมนูนี้เวลาหิวมากๆเด็ดขาด

วันอาทิตย์ที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

เมื่อโต๊ดอยากฉีกสัญญา !!!

เอาละเมื่อใครต่อใครคิดว่าเราสองคนได้ที่อยู่แล้ว เรื่องต่างๆจะจบลง แต่บังเอิญว่ามันไม่ได้เป็นดังเช่นที่หวังไว้ พูดง่ายๆคือเป็นเรื่องราวของพี่โต๊ดนั่นเอง

เรื่องไม่ยากครับ หลังจากเซ็นสัญญาแล้วอยู่ได้วันนึง พี่โต๊ดกล่าวประโยคเด็ดออกมา

"i wanna change the room" นี่คือสิ่งที่กระผมและคุณLena ได้ยินพร้อมกัน
"why do you want to change?" Lena asked with question mark face
"the toilet is too small, i cannot not use it with comfortability" คำตอบจากพี่โต๊ด

(PS. เหตุผลจิงๆ มีด้วยกันสองประการ คือหนึ่งขี้ไม่ออก เพราะหัวติด sink กับสอง แขกเพื่อนร่วมห้องทำห้องน้ำไม่สะอาด)

เนื่องจากหห้องน้ำมันก็เล็กจิงๆอ่ะนะ แต่ดันมาบอกหลังเซ็นสัญญานี่สิ
ความจริงแล้วจะเปลี่ยนห้องทำไรไม่ยากหรอก แต่ว่าค่ามัดจำนี่สิ 3000 sek (ตีว่า 15000 bathละกัน) ต้องทุ่มลงน้ำเปล่าๆ แต่ยังไงก็ดีพวกเราก็เดินทางไปยัง Karlskronahem เพื่อเจรจาต่อรอง ว่าจะเปลี่ยนที่อยู่โดยไม่เสียค่ามัดจำได้หรือไม่

"!@$%#@^@"
"@#^"@#^"@#^"@#^"@#^"@#^"@#^"@#^$&#&%$%@#%("
amp;#&%$%@#%("
amp;#&%$%@#%("
amp;#&%$%@#%("

ข้างบนนี่คือสิ่งที่คุณLena กับพนักงานออฟฟิสที่นู้นเขาคุยกัน ถามว่าทำไมเป็นยังงั้นใช่มะ ง่ายๆ เพราะตูไม่เข้าใจนะสิว่ามันแปลว่าอะไร ตอนนั้นพูดได้คำเดียว Tack = ขอบคุณ หลังจากคุยกันอยู่ได้ครึ่งชั่วโมง
การเจรจาก็สำเร็จ โต๊ดสามารถฉีกสัญญาโดยไม่เสียตังได้

"then, where will i live for now?" tod suddenly asked
"in any case, you need to stay with oak until we can find a new room for you" Lena said
-_-" ==> oak's face

หลังจากฉีกสัญญาเสร็จบังเอิญว่ายังไม่มีห้องที่ไหนว่างให้พี่โต๊ดเช่าฉะนั้น ระหว่างตามหาที่พัก ที่พี่โต๊ดพอใจ ว่าห้องน้ำไม่เล็กจนอึไม่ออก เจอ จะต้องมานอนในห้องของกระผมชั่วคราวก่อน ซึ่งขนาดของห้องน่าจะไม่เกิน 11ตารางเมตร(3.5*3.5 มั้งนะ ไม่แน่ใจ)

ลองมาดูภาพ demonstration ของการแบ่งสรรปันส่วนที่นอนกัน





เนื่องจากเราเป็นคนที่นอนค่อนข้างดึก ราวๆเที่ยงคืน ตีหนึ่งตีสอง แต่เพื่อนโต๊ดนอนเร็วกว่านั้น ประมานห้าทุ่ม เที่ยงคืน ฉะนั้นคนที่จะนอน บนเตียงคือโต๊ด..... แ้ลวคนที่นอนพื้นคือเรา =_="

แต่สิ่งที่แย่กว่าการต้องนอนบนพื้นคือ... การที่มีเนตLAN อยู่ช่องเดียว (โดยสายLAN ก็ขอทางมหาลัยมา) ในค่ำคืนแรกที่โต๊ดย้ายเข้ามานอนในห้องนี้ ก็ต้องมีการแบ่งสรรปันส่วนการใช้เนตเยี่ยงการต่อคิวใช้ห้องน้ำที



"โอ๊ค ใช้เนตอยู่เปล่าวะ" โต๊ดถาม
"ตอนนี้ยังไม่ใช้ แต่แกใช้เสดแล้วส่งกลับมาด้วย" เราตอบกลับไป

เปิดเนตเล่นคอม ทำไรเรื่อยเปื่อยจากนั้นก็ถึงเวลาเข้านอน หลังจากเพื่อนโต๊ดไปแปรงฟัน กลับฟุบตัวลงบนเตียง แล้วก็หลับไป เราผู้ซึ่งตื่นอยู่..ก็ต้องขยับตัวอย่างเงียบ เช่นลากเม้าไม่ให้มีเสียง หรือ อั้นตดเป็นต้น เพื่อไม่ให้รบกวนการนอนของโต๊ด... อย่างไรก็ดี เมื่อเวลาล่วงเลยไป เราเองก็ไปแปรงฟันและเตรียมตัวเข้านอน เมื่อกำลังจะนอน ..

"ค่ากกกกกกก ฟี้" .......
-__-" กรนดังชิบ ไม่ได้จะพูดว่าเราเองก็ไม่กรนนะ แต่นี้มันก็ถือว่าดังทีเดียว แถมเราเคยเล่าว่าเรานอนกรนให้มันฟังด้่วย เลยชิงหลับก่อนสินะ.....

"เป๊าะ เป๊าะ" เราลองดีดนิ้วตามหลักการ ของนายเตชิน เอี่ยมฤกสิริ (สะกดผิดอย่าว่ากัน) ที่ว่า ไปดีดนิ้วใกล้ๆคนกรนมันจะเลิกกรน "เป๊าะ เป๊าะ" ดีดจนนิ้วแทบหัก เสียงก็ยังไม่สงบ จนในที่สุด ปลงตก เอาหัวโขกหมอนแล้วนอนเท่าที่นอนได้ จนในที่สุดก็ผล็อยหลับไป ZzzZzz

ปล. ที่เล่ามาอย่าถือ อย่าเคืองกันเพราะเล่าเอามัน เฉยๆ วะฮ่าฮ่า

ยังมีเรื่องราวคำขัน ปนเฮฮาอีก อย่าลืมติดตามชม

วันพุธที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

รายการอาหารมื้อเย็นกับพี่โอ๊ค

ยินดีต้อนรับเข้าสู่หัวข้อ เมนูสิ้นคิดกับพี่โอ๊ค

ในส่วนหัวข้อนี้ เราจะมาเผยแพร่เมนูที่ โอ๊คได้ทำเมื่อมาทีนี้ ส่วนใครจะเอาไปเลียนแบบนั้น คงต้องสุดแล้วแต่ฟ้าประมานนให้รอดตาย :D

เพื่อไม่ให้เสียเวลา ผมขอแนะนำอาหฟารสิ้นคิดมื้อแรกก่อน ซึ่งคือแกงจืดปูอัดและมัน...

ส่วนผสมมีดังนี้
1. ปูอัดที่ซ์้อจากร้านค้าใกล้เคียง (เก้าแท่งราคา 5 sek)
2.คะนอร์ รสปลา
3.มัน หรือจะเรียกว่า potato ก้อไม่ว่ากัน สองลูกใหญ่ๆ

วิธีปรุงก้อสุดง่ายแสนง่าย เพราะมันเป็นอาหารสิ้นคิดนิ
1. ปอกมันก่อน โดยปกติที่ไทยเราจะมีมีดปอด แต่ทีนี้ใช้มีดทั่วไปทำ
2. ต้มน้ำ + ใส่คะนอร์ครึ่งก้อน (เพราะกินไม่เยอะเท่าไร) แล้วก็ใส่มันลงไป


3. ต้มเป็นชาติ นานครึ่งชั่วโมง แล้วจึงใส่ crab stick ลงไป (มัน crab จิงๆ) พร้อมใส่ซีอิ๊วลงไปนิดนึง
แต่น แต้น นี่คืออาหารสิ้นคิดมื้อแรกของผม :D

ประเมิน
รสชาติ 2/10 จืดสนิท ยังกะกินน้ำล้างจาน แถมปูอัดถูกความร้อนมากไป กลายเป็นแป้งเลย
ความยากง่ายในการปรุง 7/10 ทำง่ายแค่จับยัดและต้ม เสียอย่างเดียวต้องต้มนาน

ไว้อย่าลืมติดตามชมอาหารสิ้นคิดกับพี่โอ๊คมื้อถัดไปละคับ

ปฐมบทแห่งการหาที่อยุ่ จบ

เรากลับมาอีกครั้งหลังจากห่างหายไปนาน เพราะว่า มีเรื่องต่างๆให้ทำมากมาย TT

หลังจากวันที่กินเสต็กกัน วันรุ่งขึ้นคือวันที่พวกเราต้องลากสังขารออกจากโรงแรมแสนสบาย ก่อนเที่ยง แต่คุณพ่อของโต๊ดต้องรีบไปเยี่ยมเพื่อนตั้งแต่เช้า ก็เลยจะเหลือพวกเราแค่สองคน เมื่อถึงเวลานัดกันตอนสิบโมง พวกเราก็ออกจากห้องไปรอรถเมล์ที่ป้าย และเดินทางไปยังที่มหาลัยเพื่อพบกับคุณเลน่าเพื่อไปยังห้องพักใหม่ หลังจากไปถึงมหาลัย พวกเราก็ทำการย้ายข้าวของจากที่ international office ของมหาลัยไปยังบ้านเรา โดย 26B เป็นห้องของโอ๊ค และ อีกห้องซ่ึงจำเบอไม่ได้ เป็นของโต๊ด

ห้องพัก 26B ==> เพื่อนในapratment เดียวกัน เป็นชาวสวีเดน ซึ่งในห้องครัวมีกลิ่มแปลกๆ ที่ไม่ค่อยดี แต่ก็ไม่ได้เนน่าเละเทะ

ห้องพัก อีกห้อง ==> เพื่อนเป็นชาวอินเดีย ห้องน้ำเละเทะเลย ส่วนในห้องเหมือนจะขาด ตู้เสื้อผ้าที่แขวนได้ไป

โดยเมื่อไปถึงห้องพักแต่ละคน สภาพก็เป็นดังที่กล่าวไว้ จึงต้องเอาอุปกรณ์ทำความสะอาดจากที่ international office มา(เขาแจกให้นะ ไม่ใช่ไปยืมของเขา...) หลังจากขนของขนอะไรเสร็จก็เตรียมมตัวไปพบ professor Lars Lundberg ที่มหาลัย เมื่อไปถึง Lena ก็แนะนำให้รู้จัก prof Lars



"เห้ย..... นี่เขาเป็น professor จิงปะวะ " สิ่งแรกที่เราคิด
สาเหตุที่คิดงั้นไม่ใช่เพราะภาพข้างบนนะครับ แต่เป็นเพราะกล้ามใหญ่เป็นมัดๆ แบบว่ากูจะเอากล้ามหรีบหัวเมิงตายได้เลยอ่ะ
Lars คือคนขวาสุดนะครับ


หลังจากแนะนำตัวกันเสร็จเขาก็บอกว่าจะเลี้ยงข้าวที่โรงอาหาร ของมหาลัย

ตอนกำลังเดินไปก็คุยกะโต๊ด
"เมิง ไม่เอากล้ามแบบนั้นมั้งละ" โอ๊คถาม
"แม่งใหญ่ อยากได้มั้ง" คนที่ถูกถามตอบกลับมา

ซํกพักเราก็เดินไปถึงโรงอาหารของมหาลัย BTH เมื่อไปถึง ขอบอกว่าไม่คิดเขาเรียกไอนี่ว่าโรงอาหาร
1. อาหารเป็นแบบบุฟเฟ่ต์ ราคา 79 sek มีเยอะและเขามาเติมเรื่อยๆ
2. บรรยากาศต่างกับโรงอาหารอักษรและโรงอาหารวิศวะ ลิบลับ

ตักกินกันอย่างเมามันและเอร็ดอร่อย ก็ได้คุยกันเรื่องการฝึกงานด้วย โดยที่ร่วมโต๊ะมี PHD student อีกคน นามว่า Shahid จากปากีสถาน โดยพวกเราสองคนจะเป็นส่วนหนึ่งของโปรเจคเขา ซึ่งเก่วกะ power grid อาไรนี่ละ แต่แขกคนนี่นิสัยดี แล้วก็มาอยู่ทีนี้ กับภรรยาด้วย

หลังจากกินข้าวกันเสร็จ พวกเราก็เดินทางไป เซ็นสัญญากับ landlord office นามว่า Karlskronahem (คล้ายๆชื่อเมืองเลย) การเดินทางครั้งนี้ไปโดยรถของมหาลัยที่ Lena ได้จองไว้ก่อน โดยมีป้ายทะเบียนเป็น BTH กับเลขอีกสามตัว *-* เท่โคตรๆ เมื่อเซ็นสัญญาเสร็จก้อควักตังจ่าย หมดไป 1300 + 3000(ค่ามัดจำ) แล้วก็เดินทางกับไปชิวที่ห้องนอนน้อยๆ

ภาพตัวอย่างของห้องเรา




วันอังคารที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2553

ปฐมบทแห่งการหาที่อยู่ 2 continue again



หลังจากจบวันเสา อันแสนสบายย ในวันอาทิตย์ โต้ดและคุณพ่อของโต๊ดก็จะไปเยี่ยมเพื่อน ที่อยู่ในเมือง malmor แต่ว่า ตัวเราเองไม่ได้ไปด้วย ฉะนั้น เราก็เลยถือวันนี้เป็นวันฤกษ์ดี ในการออกไปเปแิดหูเปิดตากับชีวิตใหม่ๆ ในเมืองใหม่ๆ

ที่ไหนได้ปรากฎว่า วันอาทิตย์ประเทศสวีเดน คนแม่งเอาแต่อยู่ในบ้านกัน Oh my god !! ที่ไทยวันอาทิตย์แต่ละคนต้องหาเรื่องออกจากบ้าน ทีนี้คนเขาหาเรื่องอยู่ในบ้านกัน
"เอาวะ มีเท่าไรก็ดูแม่งเท่านั้นแหละ" พูดกะตัวเอง

ภารกิจแรกที่เราจะไปทำคือการ ซื้อผลไม้เอาไปกินให้ขี้ ที่เบ่งออกมาเลิกทำร้ายตูดข้าพเจ้าซะที และนี่คือสิ่งที่เราเห็นเมื่อเดินเข้าไปใน ซุปเปอมาเกต Hemkop


โอ้ว ผลไม้เยอะแยะไปหมด แต่เห้ย นี่มันอะไรกันฟระ

อ่านไม่ออกวะเห้ย รุ้แค่ว่ากิโลละเท่าไร ไม่รู้ว่าตัวเองกำลังจะกินอะไร -_-"
"apple *3 มะละกอ *3 กล้วย *3 ส้ม *3 apple มะลกอ กล้วย ส้ม" อยากเต้นเพลงนี้ให้ทที่ร้านนี้มันดูจิง

เอาละในเมื่อไม่รุ้ผลไม้แล้ว ยังไม่รุ้วิธีซื้ออีก รวบรวมความกล้าเข้าไปถามพนักงาน
"How can i buy these fruits or vegetables ?" ถามไปด้วยความมั่นใจ
"%$@^" เขาตอบกลับมา
"??????" สีหน้าตอบกลับจากกระผม
"I cannot speak english" คำตอบสุดท้ายจากเขา..

เจริญเถอะโยมพ่อแม่ ทั้งหลาย แค่อยากจะกระเดือกผลไม้ ทำไมมันยากเย็นยังงี้ละนี่ ในเมื่อหมดหนทาง กลั้นใจหยิบไปสามสี่ลูกแล้วเดินไป counter 8 คิดตังเลย และแล้วก็มีเรื่องประหลาดใจอีก (O-O)! พี่คนคิดตัง หยิบแอปเปิ้ลออกมาจากถุงแล้วชั่ง น้ำหนักมันตรงcounter เลย.. แถมเขายังรุ้อีกว่าไอแอปเปิ้ลนี่มัน พันธ์อะไร พ่อเจ้าแม่เจ้าช่วย นี่กูเดินกังวลจนเป็นบ้าเป็นหลังทำไมละนี่ -_-"

อ่ะนอกจากแอปเปิ้ลน้อยๆสามลูกรวมกันเป็นเงิน 10 sek (ประมานสี่สิบบาทแล้ว) ก็ยังมี ไอติมที่เพื่อนโต้ดบอกว่า" ถ้ามาถึงยุโรปแล้วไม่ได้กินไอนี่นะ เหมือนมาไม่ถึงยุโรป" กอปรกับไม่กินข้าวกลางวันเป็นทุนอยู่แล้วเลยลองซื้อมากิน ตอนเลือกซื้อไอติม เราก็แอบดีใจว่า เฮ้ย ราคามันก็เท่าๆเมืองไทยนี่หว่า แท่งละ ยี่สิบ สิบแปด สิบห้า ว่ากันไป แต่เมื่อตอนเดินไปจ่ายตัง... ยี่สิบ....ยี่สิบ sek นี่หว่า แล้วไอติมที่อยู่ในมือก็ราคา 20 sek ...... พระเจ้าไอติมจากร้านค้า ราคา80 บาท...

มาดูภาพไอติมสุดเทพของพวกเรากันดีก่า
หลังจากซื้อมาเสร็จก็เอาเข้าปากโลด พี่น้องคับ
เออ แฮะ มันก็อร่อยดีนี่หว่า เสียแค่แม่งแพง ...หาย เท่านั้นแหละ
เมื่อเดินซื้อของเสร็จเราก็ไปนั่งชิวในห้องโรงแรม aston 9 ต่อ เพราะวันรุ่งขึ้นแล้วจะได้ย้ายที่อยู่กันแล้ว (^O^)

หลังจากพ่อโต้ด กับโต้ดกลับมา พ่อเขาก็พาไปเลี้ยงอาหารที่ร้าน star and stripes ซึ่งเหมือนจะเป็นร้านกึ่งพับกึ่งร้าน steak ในย่านนั้น


"เอาเลยโอ๊ค อยากสั่งอะไรก็ได้เลยนะ" พ่อโต๊ดพูดเมื่อได้เมนูมา
"ครับ" ปากพูดไปงั้นแหละ ความจริงก็เกรงใจอยู่เเพราะว่า ราคามันแพงชิหัยเลย แถม เมนูบ้าพวกนี้คำอธิบายก็ไม่ค่อยชัดเจนอีกตะหาก

เมนูที่แต่ละคนสั่งกันก็คือ
พ่อโต้ด ==> salmon steak
โต้ด ==> club sandwich
ผม ==> steak ไก่

รอกันนานจน ตาลายอาหารถึงจะมา โดย steak 2 จานมาก่อน แล้วเว้นห่างไปซักพัก sandwich ถึงจะมา และแล้วเพื่อนโต้ดก็บ่น
"ไม่ไหว ไม่อร่อยเลย" กล่าวโดยเพื่อนโต้ด
"........" ไม่มีการตอบรับจากใครทั้งสิ้น

เมื่อกินเสดก็จบอีกวันนึงอันแสนสนุกสนานในสวีเดน แต่อย่าพึ่งเบื่อไป เรื่องราวหลังจากนี้ ยังมีทีเด็ดให้ชมอีกมาก :D
ซอรี่หลายๆหลังจากไม่ได้อัพมานาน เพราะว่าเริ่ม internแล้ว เลยอาจจะเฉื่อยไปซักหน่อย อีกทั้งเพื่อนโต้ดก็ดูบอลโลกอยู่ อีกทั้งขณะนี้กะลังฝึกภาษาสวีเดนอยุ่ด้วยละ :Dเพิ่มรูปภาพ

มาเข้าเรื่องกันต่อดี กว่าเพิ่มรูปภาพ
หลังจากนั่งรถเดินทาง ดุ่มๆไปยังที่ขายของใช้ ซึ่งมีชื่อว่า Armiralen ทีนี้มีทั้งร้านขายของชำ ร้านขายอุปกรณ์ไฟฟ้า ร้านขายเครื่องใช้ในห้องนอน และอื่นๆอีกมากมายก่ายกอง ร้านแรกที่พวกเราเดินเข้าก็คือ ร้าน Willys หรือซุปเปอมาเกต นั่นเอง

รูป มันก็ประมานนี้ละ
สิ่งที่เราเข้ามาซื้อในนี้ก็ .......เครื่องปรุงอาหารแน่นอน เพื่อนโต้ดก็เดินดูกะพ่อเขา ส่วนเราก็เดินดูของเราเอง (ว่าไปนั้น จิงๆแล้วก็เดินตามเขาน่ะแหละ) อย่างแรกที่หาก่อน แน่นอน soy sauce ไม่รุ้ก็ถาม google ดูละกัน อันนี้หยิบมาเหมือนกัน แต่พี่โต๊ดเหมือนอยากจะซื้อน้ำปลา

"เอาขวดนี้ละ" เพื่อนโต๊ดกล่าว
"เฮ้ย มันคาวนะเว้ย ถ้าเมิงทำไม่เปนน่ะ" โอ๊คพูดเตือนขึ้นมา
"อ้าว แล้วมันต่างกะ ซีอิ๊ว ยังไงวะ" คำตอบจากเพ่ือนโต้ด
"..........." no comment

เอาว่าท้ายที่สุดเนื่องจากถูกทักท้วง น้ำปลาก็เปนอันยกเลิกไป ส่วนของที่ได้ทั้งหมดจาก willys คือ กระทะ หม้อ ตะหลิว(ตอนนั้นเข้าผิด เพราะจิงๆแล้วมันเป็นที่ขูด ชีส) และ คะนอร์ !! ตอนแรกตกใจมหาศาลเมื่อมีคะนอร์ทีนี้ด้วย


จบร้านแรกไปแล้ว ถัดมาที่เราเดินไปกันก็คือร้าน on-off หรือร้านเครื่องใช้ไฟฟ้านั้นเอง ทีนี้กระผมเองไม่ได้ซื้อไร แต่เพื่อนโต้ดซื้อเครื่องปิ้งหนมปังมาอันนึง

ถัดไปร้านบ้าอะไรไม่รุ้ แต่รุ้คือมันขายเครื่องใช้ในครัว ทีนี้พวกเราก็ได้ช้อน ซ้อม มีด จาน แก้ว ซึ่งพอเพียงกับการ survive อยู่ที่ สวีเดน
สุดท้ายสำหรับวันนี้คือ ร้านขายเครื่องนอน เดินหากันแต่แต่หมอนจนถึงผ้าปูเตียง ซึ่งของจากที่นี้คือ ผ้าปูเตียง หมอน ปลอกผ้าปูที่นอน
ปลอกหมอน
เอาละหลังซื้อของเสร็จแล้ว ทีนี้ก็..... ขนกลับ โอ้แม่เจ้าไหนจะผ้าห่ม หมอน หม้อ กระทะ หนักมากพะยะคะ แบกไปถึงที่ป้ายรถเมลล์ ก็แย่ละ หลังจากนั้นรอรถเมลล์อยู่ประมาน ยี่สิบนาที แบกขึ้นรถเมลล์ก็อ้วกแตรก เวลาผ่านไปช้าเหมือนโกหก เราก็เอาสินค้าเหล่านี้(หนัก พ่อ%ง)ไปยัดไว้ที่ BTH international office ซึ่งแทบจะเรียกได้ว่า เป็นที่เก็บของของพวกเราไปแล้ว :p

หลังจากจบเรื่องราวการซื้อของเพื่อเอาชีวิตรอด พวกเราก็ลากสังขารกลับไปยัง โรงแรม Aston ณ ใจกลางเมือง และก็ คร่อกกกกก ฟี้ ZzzZzzzZzzzz

วันจันทร์ที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2553

ปฐมฤกษ์ของการหาที่อยู่ continue 1

ซอรี่หลายๆหลังจากไม่ได้อัพมานาน เพราะว่าเริ่ม internแล้ว เลยอาจจะเฉื่อยไปซักหน่อย อีกทั้งเพื่อนโต้ดก็ดูบอลโลกอยู่ อีกทั้งขณะนี้กะลังฝึกภาษาสวีเดนอยุ่ด้วยละ :D

มาเข้าเรื่องกันต่อดีกว่า

หลังจากนั่งรถเดินทาง ดุ่มๆไปยังที่ขายของใช้ ซึ่งมีชื่อว่า Armiralen ทีนี้มีทั้งร้านขายของชำ ร้านขายอุปกรณ์ไฟฟ้า ร้านขายเครื่องใช้ในห้องนอน และอื่นๆอีกมากมายก่ายกอง ร้านแรกที่พวกเราเดินเข้าก็คือ ร้าน Willys หรือซุปเปอมาเกต นั่นเอง

http://www.sjaelsoe.dk/PageFiles/4973/SlideShow/uppsala-granby406_1.jpg

รูปมันก็ประมานนี้ละ


วันพฤหัสบดีที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2553

ปฐมฤกษ์ของการหาที่อยู่

หลังจากจบวันแรกแห่งการเดินทางไปแล้วซึ่งเล่ายาวมากมาย :D เรามาเข้าการผจญภัยเรื่องที่สองกันดีกว่า

คงจะเข้าใจกันจากในตอนแรกว่า ตอนนี้พวกเราไม่มีที่จะอยู่ ต้องอาศัยโรงแรมอยู่ (ไม่งั้นคงต้องนอนข้างถนนหนาวๆ เหมือนในหนัง) ซึ่งจะว่าดีก็ดี เพราะมีอาหารเช้าให้กิน มีทั้ง ไข่คน(ใครมันจะทะลึ่งก็ช่างมันละกัน) ไส้กรอก meatball ซีเรียลมากมายหลายอย่างรวมทั้ง ลูกเกต และ กล้วยอบกรอบ พร้อมทั้งนมพร่องมันเนย และแบบธรรมดา แต่ว่าไม่ได้ถ่ายรูปมาเพราะอายเขา..... คิดดู ทำเหมือนอยู่ขั้วโลกใต้ ไม่เคยเหนไส้กรอก แล้วหยิบกล้องมาถ่ายรูป OMG !!!

ในช่วงนี้สิ่งที่เราทำมากที่สุดคือการหาที่อยู่ !! หลังจากที่ได้ไป kungsmaken รังโจรมาแล้ว คราวนี้เราก็ได้มาเช็คที่ Polhemsgatan
Polhemsgatan ==> จัดหาโดยบริษัท karlskronahem ซึ่งจะมีบทบาทอีกภายหลัง
ADV : อยู่ใกล้มหาลัยมาก และมีร้านซื้อของอยู่ใกล้ๆ และมีร้านอาหารอยู่ไม่ไกลเกินเดินไปถึงอยู่หลายร้าน
DisADV: ต้องทำความสะอาด และเพื่อนร่วมห้องจะไม่ใช่้เพื่อนโต๊ด โดยจะมีห้องนึงจะเป็นชาวสวีเดน และอีกห้องนึงจะเป็นชาวอินเดีย และห้องที่อยู่กับชาวอินเดีย สภาพห้องน้ำค่อนข้างจะเละ โดยทั้งนี้การจะเลือกว่าใครอยู่กับใครนั้น จะเป็นการแรนด้อม
โดยหลังจากได้ดูที่นี้แล้ว เมื่อเทียบกับที่ Kungsmaken แล้วเรียกได้ว่า คนละชั้น !!! ซึ่งทุกคนก็แทบจะตกลงกันในทันทีว่า ที่นี้แหละ อยู่ได้สบายแล้ว

เมื่อปัญหาเรื่องคลี่คลายได้ ทุกคนก็ต่างสบายใจ เมื่อเทียบกันในคืนแรก Ms lena และพวกเราทุกคนก็กลุ่มใจ

"อย่าลืมหา เบอโทรศัพท์ไว้ใช้ด้วยละ ไม่งั้นค่าโทรข้ามประเทศมันจะแพง" พ่อของโต๊ดก็บอกขึ้นตอนเรากำลังกินข้าวเย็นกันอยู่
หลังจากสิ้นสุดวันศุกร์ พวกเราก็วางแผนจะไปซื้อเบอร์ โทรศัพท์ โดยจะไปซื้อกันที่ร้านสะดวกซื้อข้างๆโรงแรม

"Could i have 2 sim card of telenor ?" เพื่อนโต้ดถามคนขาย
"Here you are, it'd be 198 sek in total" คนขายตอบกลับมา
* telenor ในที่นี้คือ บริษัทแม่ของ เครือข่าย DTAC ที่บ้านเรา โดยรูปที่ร้านtelenor ก็คือไอดอกไม้ที่มีสามกลีบสีฟ้าที่เห็นกันที่ DTAC

เอาละหลังจากได้เบอโทร มาพวกเราก็จะสบายละ เมื่อกลับถึงห้องเพื่อนโต๊ดก็ลองเอาซิมการ์ดจากที่ซื้อมาลองใส่ในเครื่อง

"ทำไมกูโทรออกไม่ได้วะ" โต๊ดพูด
"เสียตังไปตั้ง ร้อย โทรไม่ได้อีกเร้อะวะ" เราพูดแทรกขึ้นมา

หลังจากนั้นก็นั่งคุ้ยแคะ แกะเกา หาว่าทำไงถึงจะโทรมันได้ นอกจากนี้พวกเรายังจะเลือก promotion สุดพิเศษ ชื่อว่า world ซึ่งค่าโทรค่อนข้างต่ำสำหรับโทรข้ามประเทศ เมื่อใช้เวลาไปพอสมควรพวกเราก็จึงนอนหลับต่อด้วยความที่ยังปรับร่างกายไม่ได้ ในวันนี้หลับกันสี่ทุ่ม( ผมนะ)

ตื่นเช้ามาด้วยความสดใส และไปพบคุณLena ในตอนเช้า

"here is you sim card " Ms Lena พูด
"But we just bought these yesterday" พวกเราบอกเขาไป
"How can we activate this sim card so that it can be used?" we ask her
"you need to activate it and top up the money" she replies

"No !!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!" ร้องเสียงหลงแบบโอเล่ (ในใจเช่นเดิม เพราะถึงร้องไปเขาก็ไม่เกท)

ตกลงเสียเงินไป 100 sek ฟรีๆ แต่ยังไงก็ดี Ms Lena แนะนำว่าให้ลองเอาไปขอแลกเป็นเงินที่ร้านที่เราซื้อมา นอกจากนี้เขาให้ คู่มือภาษาอังกฤษสำหรับการเติมเงินด้วย

"What's your plan for today?" Ms Lena ถามด้วยความเป็นห่วง
"We are going to buy some bed equipment and cooking stuffs" พวกเราตอบอย่างแข็งขัน
"Then you may need this" แล้วเธอก็ยื่นการ์ดสีแดงมาให้

http://img.nattawat.org/images/wgn7iup45jswe0pydco.jpg

http://img.nattawat.org/images/mntxyn4eg8wios4mv2h.jpg



การ์ดนี้คือการ์ด สำหรับขึ้นรถเมล์สาธารณะ ในเมือง karlskrona ซึ่งมีบัสหลายเบอร์ เช่น 1 ,2 ,3 ,4 , 5 ,6 ,7,.... etc. โดยราคาบัตรนี้คือ 380 sek ซึ่งแพงไม่น้อยทีเดียว แต่บัตรใบแรก Lena เขาให้เราฟรี :D แต่ว่าบัตรนี้มีขอบเขตที่สามารถใช้ได้อยู่คือ ในรอบขอบเขตเมือง karlskrona เมื่อเราได้บัตรพวกนี้แล้วเราจึงไปขึ้นรถเมลล์ เพื่อเดินทางไปซื้อของกันที่ เขตขายเครื่องครัวและเครื่องนอน โดยขึ้นรถสายที่ 1 ออกจากป้ายที่มหาลัย (Hogskolan)

PS. ป้ายเริ่มเยอะแล้วนะ จำกันไหวไหมนิ
PS. มีใครรู้ไหมอ่ะ ว่าทำไมอยู่ๆเราก็ แอดภาพเพิ่มในบล็อกไม่ได้

วันอาทิตย์ที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2553

วันแรกแห่งการผจญภัย ตอนที่ 2

หลังจากการคุยที่สนุกสนานในรถแล้ว เราก็มาถึงมหาลัย BTH (Blekinge institute of technology เอาว่าต่อจากนี้จะขออนุญาติใช้คำย่อละ ไม่งั้นยาวเกิ๊น) และแล้วเราก็ได้เจอกับคนที่เราคุยด้วยทาง email มาตั้งนาน Ms Lena Magnusson

ทางขวาคือ ผม (ชัยวัฒน์ ทวิวรดิลก) ทางซ้ายคือ เพื่อนโต๊ด (ดลชัย เลิศสัจจานันท์)

หลังจากทักทายอย่างเป็นทางการ Lena (ที่นี้ เขาไม่นิยมใส่คำนำหน้าชื่อกัน) ก็พาเราไปดูที่พักที่เราจะได้ไปพักอาศัยอยู่กัน ก่อนอื่นพวกเราไปยังเจ้าของที่ดินซึ่งที่นี้เขาเรียก landlord ปรากฎว่าตอนไปถึงมีความคลาดเคลื่อนในวันเวลาจองซึ่งจากวันที่ 10 มิถุนายนที่เรามาถึง ไปเผป็นวันที่ 16 มิถุนายน

ปจฉา : แล้วเราจะไปสถิตอยู่ที่ไหนกันดี ?
วิสัจฉนา: นั่นสิ สงสัยต้องกางเต๊นท์นอน :D ....
หลังจากคุยซักพักใหญ่ Lena ก็พาเราไปยังที่พักอื่นใกล้เคียงเพื่อหาที่ให้เรานอน ที่ๆเขาพาเราไปที่แรกคือ Kungsmaken (ถ้าจำไม้ผิดนะ) ซึ่งเปนห้องพักสำหรับห้าคน หนึ่งห้องน้ำ หนึ่งห้องครัว shared แต่ว่าพอเขาไปถึง

"นี่มันรังโจรเร้อะวะ" นี่คือสิ่งที่เราคิดในใจ.......

สภาพในห้องค่อนข้างมืดและ มีแต่ชาวอินเดีย สภาพห้องน้ำก็ค่อนข้างโทรม ยิ่งไปกว่านั้น ตอนLena พาเราออกมาจากที่หอ เขายังว่ามันไม่ไหวเลย

"It's disgusting" นี่คือสิ่งที่เธอพูด....
"I am very sorry for this, i didn't know that it would be this terrible" และ Lena ก็พาเราไปอีกที่นึง
หลังจากไปดูสองสามที่ ก็ยังมีปัญหาที่ยังไม่ลงตัวหลายอย่าง Lena เลยเสนอให้เราพักที่โรงแรม Aston( โรงแรมสามดาวในละแวกนั้น) ส่วนสัมภาระส่วนนึงก็เก็บไว้ที่ international office ของ BTH ไว้ก่อน


นี่คือภาพมหาลัยที่พวกเราจะมาสิงสถิตย์เจ็ดเดือน

เอาละหลังจากพลาดในเรื่องที่อยู่อาศัย เรื่องที่มีปัญหาอีกอย่างคือเรื่องบัญชีธราคาร เนื่องด้วยสาเหตุที่ว่า การชำระค่าใช้จ่ายต่างๆ ถ้ามีบัญชีธนาคารสวีเดน จะช่วยลดค่าใช้จ่ายได้เยอะ ฉะนั้นเราจึงไปหาธนาคารเปิดบัญชีกัน แต่ทว่าไม่มีธนาคารไหนสามารถเปิดให้ได้ยกเว้น Nordea bank ==>ผู้จัดการดันพักร้อน......
และแล้วในคืนแรกที่เรามาถึงสวีเดนนี้ เราก็ได้นอนโรงแรม (โอย นี่มันดีเสียจริง) ในคืนแรกนี้เอง ทั้งคุณพ่อโต๊ด ตัวผม และ โต๊ดหลับกันตั้งแต่ สองทุ่ม !!!! (ปกติที่ประเทศไทยนอนตีสองอ่ะ :D)

วันเสาร์ที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2553

วันแรกแห่งการผจญภัย ตอนที่ 1

"บ้าบบาย พี่โอ๊ค/โอ๊ค" เป็นเสียงร่ำราจากพ่อ แม่ และ น้องสาวของเราเอง
ตัวเราชื่อ "โอ๊ค" และตอนนี้กำลังเดินทางไปสวีเดน เพื่อ ฝึกงานและไปแลกเปลี่ยนต่อเนื่องเป็นเวลา เจ็ดเดือน ตั้งแต่ 10 มิถุนายน 2010 ถึง 14 มกราคม 2011 โดย blog นี้จะเล่าเรื่องการผจญภัยของเราในต่างแดน เพราะว่านี้เป็นครั้งแรกที่ได้มาที่ เขตยุโรป ^O^

พอเข้าไปใน duty free ก็เลยไปถามเพื่อนที่ไปในโครงการนี้ด้วยกัน
"เฮ้ย โต๊ด ต้องซื้อไรมั่งไหมนิ"

"ก็พวกครีมน่ะ เอาไว้ใช้ตอนหน้าหนาว ไม่งั้นเดี๋ยวผิวแตกหมด" โต๊ดตอบกลับมา

หลังจากนั้นก็มีการซื้อพวกครีมเล็กๆน้อยๆ จากในสนามบินเป็นราคา สามพันบาท (ละมั้ง เอิ้ก) ตอนนั้น เวลาประมานห้าทุ่ม แต่ว่าเครื่องออกตอน ตีหนึ่ง เพื่อนโต้ดแสนใจดีเลยพสไปนั่งใน lounge ในสนามบิน

*lounge คือสถานที่ในสนามบินที่เอาไว้ นั่ง กิน อย่างชิล และฟรี อาไรทำนองนั่น

หลังจากกินกันอิ่มแล้วดูเวลา ก็ประมาณเที่ยงคืนครึ่ง เราสองคนก็ไปที่ทางเข้าเครื่องบิน

"เตรียมของพร้อมรึยัง" คุณพ่อของโต๊ดถามเมื่อเราไปเจอกัน

คุณพ่อของโต๊ดบังเอิญจะไปเยี่ยมเพื่อนที่สวีเดน ในเขต malmor แต่สถานที่ ที่ผมและโต๊ดจะไปคือ เมือง Karlskrona นอกจากนี้คุณพ่อยังเดินทางไปพร้อมกับพวกเราจนถึงเมือง karlskrona ด้วย

หลังจากขึ้นเครื่องแล้ว คุณพ่อของโต๊ดก็แยกย้ายไปนั่งที่ชั้น Business class แล้วผมกะโต๊ดก็แยกไปยั่งที่ Economic class แต่ปรากฎว่า มันมีที่นั่งที่ business class เหลือที่นึง !!!! ฉะนั้น โต๊ดก็ย้ายไปนั่งที่ตรงนั้นกะพ่อเขา (ทิ้งเราไว้คนเดียว TT) แต่ว่าโชคก็ยังเข้าข้างเราเพราะว่า มันมีที่นั่งว่างติดกันสามที่ และแอร์ ก้อมาถามว่าเราจะย้ายที่นั่งไหม (เสร็จโจร :D) ก็ไปสิครับแน่นอน

ในการผจญภัยครั้งนี้ เรานั่งเครื่องของ Thai Airway นะครับ ==> การบินไทยน่ะแหละ

หลังจากได้ที่นอนแสนสบายสามที่นั่ง แต่พอมองไปข้างๆ ฝรั่งมันได้สี่ที่นั่ง -_- ซะงั้น แต่เอาเหอะ นอนได้ก็โอเคละ หลังจากนอนได้ซักพัก ก็ถึงเวลาที่ใครๆก็รอคอย เวลาอาหาร !!!! แม้ว่าจะง่วงแต่ผมก็ตื่นมา แดก ! ซะหน่อย หลังจากโดนขุนด้วย เสต็กหมูอบ(หรืออย่างน้อยผม ก็คิดว่ามันใช่) จนอ้วนแล้วก็ลงไปนอนต่อ คร่อก ๆ

"please fasten your seatbelt as we are about to reach the destination Arlanda airport in around 10 minutes" เสียงสัญญาณเตือนว่า ใกล้จะต้องลงแล้วหลังจากอยู่บนเครื่องบินมาสิบกว่าชชั่วโมง

"เอี๊ยด.." ล้อถึงพื้นแล้วว

หลังจากหยิบของ ทุกคน ไม่ว่าจะสูง ต่ำ ดำ เตี้ย ก็แห่กันเดินไป ตรวจ พาสพอต ซึ่งแถวก็ยาวมากมาย แต่เราไม่น้อยหน้า อยู่ใกล้ๆหัวแถวได้ แต่ .....เฮ้ย ทำไมป้ายตรงที่เราจะไปตรวจมันเขียนว่า EU and schengen only

"This is madness" นี่คือคำพูดที่ผุดขึ้นมาในหัวคำแรกเลย เพราะว่า ที่สนามบิน Arlanda พวกเราต้องรีบไปขึ้นเครื่องเพื่อนบินต่อไปยังสนามบิน ที่เมือง Ronneby ภายในเวลา 1 ชม. 15 นาที

เอาไงดีละ จะแอบมุดไปแถวข้างๆที่มันเขียนว่า All Nationalities ดีไหมนิ จนแล้วจนรอด ก็เดินไปท้ายแถวเพื่อต่อคิวใหม่ และเสียเวลาไปเกือบ ครึ่งชม. ที่ด่านตรงนี้ จากนั้นตรงด่วนไปหยิบกระเป๋า แล้วมุ่งหน้าไปยัง ส่วน checkin ของ domestic flight ตะบึงกันอย่างสนุกสนาน ในที่สุด พวกเาทั้งสามคนก็มาถึงทางเข้าของสายการบิน SAS ซึ่งจะพาพวกเราไปยังสนามบิน Ronneby ทันเวลาก่อนเขาจะเปิดประตูให้ขึ้นไปในเครื่องพอดี

"นี่มันอาหารอะไรนิ รสชาติไม่ไหวเลย" นี่คือคำพูดเมื่อได้เจอกับ อาหาร บนเครื่องของสายการบิน SAS

http://img.nattawat.org/images/ysk6rk7rxcu3toq85o1d.jpg

ผ่านไปหนึ่งชั่วโมง ไวเหมือนโกหก พวกเราก็ลงมาถึงพื้นสนามบิน แต่ว่า !!!!! เราไม่มี terminal แล้ว ทางลงจากเครื่องบินก็เป็นบันได บันได้แบบที่ลงจากเครื่องเลยไม่ต้องเข้าอาคาร... พอมาถึงข้างในยิ่งช็อก สายพานลำเลียงของลง เป็นแบบ เส้นตรงยาว หกเมตร แล้วหมด.......

รูป ==> ไม่มีอ่ะ ห้าห้าห้า

ออกจากนอกอาคารไป อากาศหนาวก็พัดใส่หน้า วู้ววววว "@#$^&* " หนาวอย่าบอกใครเชียว ทีนี้เราก็พยายามหาว่า ใครนะที่จะมารับเราที่สนามบินแห่งนี้ หลังจากมองไปมาก็เจอแท็กซ๊่เขาเข้ามาถาม

"Are you looking for taxi? What's your name?" คนขับแท็กซ๊่ถามมา

หลังจากคุยมาซักพัก ก็ได้เรื่องว่า เขาได้รับแจ้งจากมหาลัย Blekinge Institute of Technology ให้มารับพวกเรา เมื่อเขาเห็นสัมภาระของพวกเรา คนขับแท็กซ๊่ถึงกับสะดุ้ง

"i have been infromed that i will come and recieve 3 people and 3 luggages" นี่คือสิ่งที่เขาพูด

แต่อย่างไรก็ดีเขาก็ขนของอันมากมายมหาศาลขึ้นรถไปให้ ระหว่างทางเขาก็พูดคุยสนุกสนาน พร้อมทั้งบ่นเกือบตลอดทาง ว่าสัมภาระขนาดนี้น่าจะเอา BUS !! มามากกว่า (bus ของมันนี้ขนาดไหนฟระเนี่ย)

ตอนที่สองเดี๋ยวเขียนใส่อีก article ละกัน เพราะว่า เดี๋ยวจะไม่ได้อ่านกัน